English
Chinese
Japanese

เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง (Potato Leafhopper) | ลักษณะ วงจรชีวิต และวิธีป้องกันการระบาดในพืชไร่

เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง (Potato Leafhopper)

ภัยเงียบบนใบพืชที่ทำให้ต้นแคระแกรนและผลผลิตลดฮวบ

Empoasca fabae หรือที่รู้จักในชื่อ “เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง” เป็นแมลงศัตรูพืชขนาดเล็กที่แม้จะมองดูไม่ร้ายแรงในแวบแรก แต่กลับสามารถสร้างความเสียหายให้กับพืชเศรษฐกิจหลากหลายชนิด เช่น มันฝรั่ง ถั่วเหลือง กระเจี๊ยบ และพืชในวงศ์มะเขือ ด้วยปากแบบเจาะดูดและพฤติกรรมกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทำให้พืชหยุดการเจริญเติบโต ใบเหี่ยว เหลือง และบิดงออย่างรุนแรง

ข้อมูลเบื้องต้น

  • ชื่อสามัญ: Potato Leafhopper
  • ชื่อวิทยาศาสตร์: Empoasca fabae
  • วงศ์: Cicadellidae
  • อันดับ: Hemiptera

ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและชีววิทยา

ขนาดลำตัว: 3.0–3.3 มม.
สี: สีเขียวอ่อน มีแสงเงาคล้ายสีรุ้ง

ลักษณะเด่น:

  • มีจุดสีขาว 6–8 จุดบนแผ่นอก (pronotum)
  • มีเครื่องหมายรูปตัว “H” สีขาวระหว่างหัวและฐานปีก
  • ดวงตาสีแดง
ปีก: ปีกคู่หน้าแบบ Hemelytra ส่วนโคนปีกแข็ง ปลายบางใส / คู่หลังเป็นแผ่นใสบาง
หนวด: แบบเส้นขน (setaceous)
ขา: คู่หน้าและกลางใช้เดิน / ขาหลังเป็นขากระโดด
ปาก: แบบเจาะดูด (piercing-sucking type)

วงจรชีวิตของเพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง

แมลงชนิดนี้มีการเจริญเติบโตแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete metamorphosis) โดยมี 3 ระยะหลัก:

ไข่ (Egg) : 

ใช้เวลาฟัก 7–10 วัน

ตัวอ่อน (Nymph) :

  • ลอกคราบ 4 ครั้ง
  • ใช้เวลา 11–19 วัน

ตัวเต็มวัย (Adult)

  • อายุประมาณ 2 สัปดาห์
  • วงจรชีวิตรวม ~30 วัน

พืชอาหารและลักษณะการทำลาย

พืชอาหาร:

  • พืชวงศ์ชบา (Malvaceae) เช่น กระเจี๊ยบ
  • พืชวงศ์มะเขือ (Solanaceae) เช่น มันฝรั่ง
  • พืชวงศ์ถั่ว (Fabaceae) เช่น ถั่วเหลือง

ลักษณะความเสียหาย:

  • ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากดูดน้ำเลี้ยงจากใบ
  • ส่งผลให้พืชสังเคราะห์แสงได้น้อยลง
  • เกิดอาการ "ใบเหลือง-ใบม้วน" หรือที่เรียกว่า cupping
  • ใบเหี่ยว (crinkling) และต้นเตี้ยแคระแกรน
  • ความเสียหายสะสมทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

การแพร่กระจาย

มีถิ่นกำเนิดใน ทวีปอเมริกาเหนือ และสามารถแพร่กระจายได้กว้างในภูมิภาค เอเชีย และ แอฟริกา โดยพบมากในพื้นที่ปลูกมันฝรั่ง ถั่วเหลือง และพืชล้มลุกทั่วไป

วิธีการป้องกันและควบคุม

ใช้สารฆ่าแมลงอย่างมีประสิทธิภาพ

Carbaryl (เซฟวิน 85% WP) : 

ใช้ในระยะเริ่มระบาด

กลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ (Synthetic Pyrethroids) : ใช้ในกรณีที่มีการระบาดรุนแรง

  • Permethrin – 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
  • Lambda-cyhalothrin – 7 มล./น้ำ 20 ลิตร
  • Cyfluthrin – 4 มล./น้ำ 20 ลิตร
  • Deltamethrin – 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
  • Cypermethrin – 10 มล./น้ำ 20 ลิตร

ควรพ่นสารช่วงเย็น และไม่ใช้สารกลุ่มเดียวกันติดต่อกันเกิน 2–3 ครั้งเพื่อลดการดื้อยา

ตัดแต่งกิ่งหลังเก็บเกี่ยว

  • ช่วยลดแหล่งหลบซ่อนของเพลี้ย
  • ส่งเสริมให้การพ่นสารในฤดูถัดไปได้ผลดียิ่งขึ้น

สรุป

เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่งอาจเป็นศัตรูพืชที่ถูกมองข้ามเพราะขนาดเล็ก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับหนักหน่วงต่อพืชเศรษฐกิจหลายชนิด โดยเฉพาะถั่วเหลืองและมันฝรั่ง การรู้ทันวงจรชีวิตและลักษณะพฤติกรรมของเพลี้ยชนิดนี้จะช่วยให้สามารถวางแผนควบคุมได้อย่างยั่งยืน ลดความเสียหายต่อผลผลิต และลดการพึ่งพาสารเคมีแบบไม่จำเป็น

FAQ: 3 คำถามยอดฮิต ของ เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง (Empoasca fabae) ที่คนมักค้นหา

คำถามที่ 1 ใบเหลือง–ใบม้วนเป็น “วี” (hopperburn) แยกจากอาการขาดธาตุยังไง? ต้องทำอะไรทันที

  • สังเกตจุดต่าง: เพลี้ยทำให้ขอบใบอ่อน “เหลืองซีดเป็นรูปตัววีจากปลายใบเข้าใน” แล้วม้วนงอ/ย่น (cupping, crinkling) ทั้งเส้นใบยังเขียวอยู่ช่วงแรก ต่างจากขาดธาตุที่มักเหลืองสม่ำเสมอหรือเป็นปื้นตามเส้นใบ
  • ยืนยันหน้างาน: พลิกดูใต้ใบอ่อน จะพบตัวอ่อนสีเขียวซีดตัวจิ๋วเคลื่อนที่ไว + ทิ้งรอยดูดเป็นจุดใส ๆ
  • ลงมือทันที: ตัดแต่งยอด/ใบอ่อนที่อาการหนัก, ลดความเครียดพืช (รดน้ำสม่ำเสมอ/งด N เกิน), เริ่มควบคุมตาม IPM: กำจัดวัชพืชริมแปลง–ใช้กับดักกาวเหลือง–ถ้าระบาดให้พ่นสารตามฉลาก (เช่น carbaryl หรือไพรีทรอยด์สังเคราะห์: permethrin, lambda-cyhalothrin, cyfluthrin, deltamethrin, cypermethrin) และสลับกลุ่มสารทุกครั้ง

คำถามที่ 2 ต้องพ่นเมื่อไหร่ถึง “คุ้ม”? มีเกณฑ์สำรวจ/เฝ้าระวังแบบเร็วไหม

  • สำรวจสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง ช่วงใบอ่อนออกจัด: เดินตรวจ 20–30 ต้น/แปลง เน้นใบอ่อนยอดและขอบแปลงที่ลมพาแมลงเข้า
  • สัญญาณเริ่มพ่น: พบตัวอ่อนหลายต้นติดกัน + ใบอ่อนเริ่มเหลืองเป็นวี/ม้วนต่อเนื่องเป็นแนว หรือแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการตรวจ 2 ครั้งติดกัน
  • เครื่องมือช่วย: แผ่นกาวเหลือง 1 แผ่น/ไร่ (เพิ่มที่ขอบลมเข้า) เช็กทุก 3–7 วัน—ตัวเต็มวัยขึ้นกับดักมาก = เตรียมจัดการก่อนตัวอ่อนระบาด
  • ทริกพ่นให้ได้ผล: พ่นช่วงเย็น/พลบค่ำให้ละอองเกาะใต้ใบได้ดี หลีกเลี่ยงพ่นซ้ำกลุ่มเดิมเกิน 2–3 ครั้งติดเพื่อลดดื้อสาร

คำถามที่ 3 ไม่อยากพึ่งยาอย่างเดียว—คุมเพลี้ยให้ยั่งยืนทำยังไง (IPM Action Plan)

  • แหล่งสะสม: กำจัดวัชพืชอาศัย (ริมคันนา/ขอบแปลง/แนวรั้ว) อย่างสม่ำเสมอ ลดทางผ่านและที่หลบ
  • กั้น–ดัก: ใช้ตาข่ายกันแมลงในโรงเรือน/แปลงอนุบาล + แผ่นกาวเหลืองเพื่อตรวจและลดตัวเต็มวัย
  • เสริมพืชแข็งแรง: รดน้ำสม่ำเสมอ เลี่ยงไนโตรเจนเกิน เพราะใบอ่อนอวบน้ำดึงแมลง
  • ชีววิธี/ศัตรูธรรมชาติ: รักษาแมลงห้ำ–แมงมุมในแปลงด้วยการหลีกเลี่ยงพ่นหนักช่วงเริ่มพบตัวน้อย
  • เคมีแบบมีแผน: เมื่อจำเป็น คัดสารที่ขึ้นทะเบียนและ “หมุนเวียนกลุ่มออกฤทธิ์” (เช่น เริ่มด้วย carbaryl ช่วงเริ่มระบาด; กรณีหนักใช้ไพรีทรอยด์สังเคราะห์ตามฉลาก) พ่นเฉพาะโซนระบาด ลดผลกระทบผสมเกสร

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

Visitors: 545,344