เพลี้ยจักจั่นมะม่วง (Mango Leafhopper) | ลักษณะ วงจรชีวิต และวิธีป้องกันการระบาด
เพลี้ยจักจั่นมะม่วง (Mango Leafhopper)
ภัยเงียบที่คุกคามช่อดอกมะม่วง ทำให้ผลผลิตลดลงแบบไม่ทันตั้งตัว
มะม่วง... ผลไม้เศรษฐกิจของไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาจต้องเผชิญกับศัตรูพืชตัวเล็กที่สร้างความเสียหายใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ “เพลี้ยจักจั่นมะม่วง” หรือ Mango Leafhopper คือหนึ่งในแมลงศัตรูพืชที่สำคัญในช่วงฤดูออกดอก หากไม่ได้รับการควบคุมตั้งแต่ต้นฤดู อาจทำให้ดอกร่วงและไม่ติดผลอย่างน่าเสียดาย
ข้อมูลเบื้องต้น
- ชื่อสามัญ: Mango Leafhopper
- ชื่อวิทยาศาสตร์:Idioscopus clypealis (Lethierry), I. niveosparsus (Lethierry)
- วงศ์: Cicadellidae
- อันดับ: Hemiptera
ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและชีววิทยา
- ขนาดลำตัว: 5.6–6.5 มิลลิเมตร
- รูปร่างเด่น: ส่วนหัวใหญ่ ลำตัวเรียวเล็กคล้ายรูปลิ่ม
- สี: เทาปนดำ หรือน้ำตาลปนเทา
- ปีก: คู่หน้าแบบ Hemelytra, คู่หลังเป็นเยื่อบางใส
- หนวด: แบบเส้นขน (Setaceous)
- ปาก: เจาะดูด (piercing-sucking type)
- ขา: คู่หน้าและกลางเป็นขาเดิน / ขาหลังเป็นขากระโดด
- พฤติกรรม: อาศัยรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ และมีเสียงที่ได้ยินชัดเจนเมื่อถูกรบกวน
วงจรชีวิตของเพลี้ยจักจั่นมะม่วง
แมลงชนิดนี้เจริญเติบโตแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete metamorphosis) ได้แก่ 3 ระยะ:
ไข่ (Egg)
- วางไข่ตามก้านดอกหรือใบอ่อน
- ใช้เวลาในการฟัก 7–10 วัน
ตัวอ่อน (Nymph)
- ลอกคราบ 4 ครั้ง
- ใช้เวลา 17–19 วัน
ตัวเต็มวัย (Adult)
- อายุเฉลี่ย 15–19 วัน
- พร้อมสืบพันธุ์และเริ่มวงจรใหม่
พืชอาหารและความเสียหายที่ก่อให้เกิด
พืชอาหาร: มะม่วง (Mangifera indica) และพืชในวงศ์ Anacardiaceaeพฤติกรรมทำลาย:
- ดูดกินน้ำเลี้ยงจาก ใบอ่อน, ช่อดอก, ยอดอ่อน และ ก้านดอก
- ทำให้ช่อดอกเหี่ยวแห้ง ดอกร่วง และไม่ติดผล
- ผลผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงช่อดอกเริ่มออก
การแพร่กระจาย
พบได้ทั่วไปในหลายประเทศใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึง ไทย, อินเดีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และมาเลเซีย โดยระบาดหนักในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน
วิธีการป้องกันและควบคุมเพลี้ยจักจั่นมะม่วง
ใช้สารฆ่าแมลงอย่างมีประสิทธิภาพ
Carbaryl (เซฟวิน 85% WP) :
เหมาะสำหรับช่วงเริ่มระบาดกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ (Synthetic Pyrethroids): ใช้เมื่อมีการระบาดรุนแรง
- Permethrin: 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
- Lambda-cyhalothrin: 7 มล./น้ำ 20 ลิตร
- Cyfluthrin: 4 มล./น้ำ 20 ลิตร
- Deltamethrin: 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
- Cypermethrin: 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
ควรฉีดพ่นในช่วงเย็น และหลีกเลี่ยงการพ่นซ้ำกลุ่มเดียวกันเกิน 2 ครั้งเพื่อลดโอกาสดื้อยา
การตัดแต่งกิ่งหลังเก็บเกี่ยว
- ลดที่หลบซ่อนของแมลง
- เพิ่มประสิทธิภาพของการพ่นสารในฤดูกาลถัดไป
ใช้แสงไฟล่อแมลง
- ในช่วงระบาดรุนแรงช่วงค่ำถึงกลางคืน
- ใช้ร่วมกับกับดักหรือการกำจัดเชิงกล
สรุป
เพลี้ยจักจั่นมะม่วงอาจมีขนาดเล็ก แต่ส่งผลเสียร้ายแรงต่อผลผลิตมะม่วงโดยตรง การเฝ้าระวังและควบคุมตั้งแต่ต้นฤดู โดยเฉพาะในช่วงที่มะม่วงเริ่มแทงช่อดอก เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สวนมะม่วงของคุณปลอดภัยจากการระบาด และให้ผลผลิตที่สมบูรณ์ตามเป้าหมาย
FAQ : — 3 คำถามยอดฮิต ของ เพลี้ยจักจั่นมะม่วง (Mango leafhopper) ที่คนเสิร์ชถามบ่อย
คำถามที่ 1 จะรู้ได้ไงว่า “เริ่มระบาดแล้ว” แบบไม่ต้องเดา? มีเช็กเร็วใน 5 นาทีไหม
- เดินสำรวจ ช่วงเย็น–หัวค่ำ (ตัวเต็มวัยชอบออกหากินตอนแสงต่ำ)
- เขย่าช่อดอกเบา ๆ เหนือถาด/กระดาษสีขาว — จะเห็นตัวเล็ก ๆ กระโดด–บินหนีเร็ว
- มองหา ช่อดอกเหี่ยว/น้ำหวานเหนียว ที่ปลายช่อ และ มดมารุม (สัญญาณดูดกินน้ำเลี้ยง)
- เปิดไฟส่อง/ไฟล่อชั่วคราวหน้าแปลง 1–2 คืน ถ้าพบตัวบินเข้ามา ต่อเนื่อง และจำนวนเพิ่ม = ถึงเวลาเริ่มคุมอย่างจริงจัง
คำถามที่ 2 ช่วงออกดอกจะพ่นยาเมื่อไหร่–ตัวไหน “เวิร์ก” โดยไม่พังผึ้งผสมเกสร?
หลักใหญ่: พ่นช่วงเย็นหลังผึ้งกลับรัง ลดกระทบแมลงผสมเกสร และพ่นให้โดนช่อดอก–ยอดอ่อน (จุดที่ตัวแมลงเกาะกิน)ตัวเลือกตามบทความ:
- Carbaryl (WP) เหมาะช่วงเริ่มพบการระบาด
- ไพรีทรอยด์สังเคราะห์ (permethrin / lambda-cyhalothrin / cyfluthrin / deltamethrin / cypermethrin) ใช้เมื่อชุกชุมมาก
ทิปเพิ่มประสิทธิภาพ: ทำ ทรงพุ่มโปร่งก่อนฤดูกาล จะให้ละอองเข้าถึงช่อดอกได้ดีขึ้น ใช้หัวพ่นละอองละเอียด และเลี่ยงลมแรง
คำถามที่ 3 ไม่อยากพึ่งยาอย่างเดียว มี “แผน IPM 3 ชั้น” แบบทำได้จริงไหม?
ชั้นที่ 1: ปรับสวนให้แมลงอยู่ยาก – ตัดแต่งกิ่งหลังเก็บเกี่ยว, เปิดช่องลมในทรงพุ่ม, เก็บเศษช่อดอก/ใบติดโรคออกจากแปลง
ชั้นที่ 2: มอนิเตอร์+ดักจับ – สำรวจเย็นวันเว้นวันช่วงแทงช่อ, ตั้ง ไฟล่อ ช่วงค่ำ 1–2 จุด/ไร่ (ชั่วคราว), ใช้แผ่นกาวช่วยเฝ้าดูแนวโน้ม
ชั้นที่ 3: ชีววิธี/จุลินทรีย์ – พ่น เชื้อรากำจัดแมลง (เช่น Beauveria / Metarhizium) ในสภาพชื้นอากาศนิ่งตอนเย็น เพื่อกดประชากรระยะนิมฟ์
สูตรเดินงาน: เริ่มจาก ชั้น 1–2 ให้ข้อมูลแน่นก่อน แล้วค่อยเสริม ชั้น 3; หากตัวเลขยังพุ่ง ค่อยพิจารณาเคมีแบบหมุนเวียนกลุ่ม และพ่นเฉพาะช่วงจำเป็นจริง ๆ
สรุปสั้น: ตรวจเย็น–ใช้ไฟล่อยืนยันแนวโน้ม → จัดพุ่มโปร่ง + ชีววิธี → ถ้าชุกจริงค่อยพ่น ถูกเวลา–ถูกจุด–สลับกลุ่ม = ดอกร่วงน้อย ผลติดดี ต้นทุนคุมอยู่.