เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก (Rice Zigzag Leafhopper) | ลักษณะ วงจรชีวิต และการควบคุมโรคในนาข้าว
เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก (Rice Zigzag Leafhopper)
Recilia dorsalis – แมลงพาหะโรคร้ายในนาข้าวที่ต้องระวัง
เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก หรือที่รู้จักในชื่อสามัญว่า Rice Zigzag Leafhopper คือหนึ่งในศัตรูพืชขนาดจิ๋วที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการปลูกข้าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความสามารถในการดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบข้าวและเป็นพาหะนำโรคไวรัสร้ายแรง เพลี้ยชนิดนี้จึงกลายเป็นภัยเงียบที่เกษตรกรไม่ควรมองข้าม
ข้อมูลเบื้องต้น
- ชื่อสามัญ: Rice Zigzag Leafhopper
- ชื่อวิทยาศาสตร์:Recilia dorsalis (Motchulsky)
- วงศ์: Cicadellidae
- อันดับ: Hemiptera
ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและชีววิทยา
- ขนาดลำตัว: ประมาณ 2 มิลลิเมตร
- ลักษณะเด่น: สีขาว ตาสีแดง ส่วนอก (pronotum) มีลายสีเหลือง และที่ปีกมีลายหยักสีน้ำตาลเป็นเส้นซิกแซกอย่างชัดเจน
- หนวด: แบบเส้นขน (setaceous)
- ปีก: คู่หน้าเป็นแบบ Hemelytra โคนปีกแข็ง ปลายปีกใสบาง / คู่หลังเป็นเยื่อใสบาง (membrane)
- ปาก: แบบเจาะดูด (piercing-sucking type)
- ขา: คู่หน้า-กลางเป็นขาเดิน / ขาหลังเป็นขากระโดด
แมลงชนิดนี้มีพฤติกรรมคล้ายเพลี้ยจักจั่นสีเขียว แต่มีขนาดเล็กกว่าและมีลวดลายที่เด่นชัดตรงปีก ซึ่งช่วยให้แยกแยะได้ชัดเจน
วงจรชีวิต
Recilia dorsalis เจริญเติบโตแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete metamorphosis) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่:
ระยะไข่ (Egg)
- เพศเมียวางไข่ตามเส้นกลางใบพืช
- จำนวน 100–200 ฟอง / ระยะฟักไข่ 4–5 วัน
ระยะตัวอ่อน (Nymph)
- ลอกคราบ 4 ครั้ง
- ใช้เวลา 11–19 วัน
ระยะตัวเต็มวัย (Adult)
- มีอายุเฉลี่ย 10–14 วัน
- วงจรชีวิตทั้งหมดประมาณ 1 เดือน
พืชอาหารของเพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก
เพลี้ยชนิดนี้กินน้ำเลี้ยงจากพืชหลายตระกูล ได้แก่:
- วงศ์ Malvaceae: เช่น กระเจี๊ยบ
- วงศ์ Solanaceae: เช่น มันฝรั่ง
- วงศ์ Poaceae: เช่น ข้าว
- วงศ์ Fabaceae: เช่น ถั่วเหลือง
ความเสียหายที่ก่อให้เกิด
ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยสามารถดูดน้ำเลี้ยงจากใบและกาบใบข้าว ทำให้ต้นพืชอ่อนแอและหยุดการเจริญเติบโต ที่สำคัญกว่านั้นคือ เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยักยังเป็น พาหะนำไวรัส ที่สำคัญ ได้แก่:
- โรคใบสีส้ม (Yellow Orange Leaf Virus)
- โรคหูด (Gall Dwarf Virus)
ไวรัสดังกล่าวส่งผลให้ต้นข้าวผิดปกติอย่างรุนแรง และส่งผลต่อคุณภาพของผลผลิตโดยตรง
การแพร่กระจาย
พบแพร่กระจายกว้างในหลายประเทศในเอเชีย ตั้งแต่อินเดียถึงออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย
วิธีการป้องกันและควบคุม
1. ใช้สารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ
Carbaryl (เซฟวิน 85% WP) – ใช้ในช่วงระบาดเริ่มต้นกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ (Synthetic Pyrethroids):
- Permethrin – 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
- Lambda-cyhalothrin – 7 มล./น้ำ 20 ลิตร
- Cyfluthrin – 4 มล./น้ำ 20 ลิตร
- Deltamethrin – 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
- Cypermethrin – 10 มล./น้ำ 20 ลิตร
ควรสลับสารที่ใช้เป็นประจำ เพื่อลดการดื้อยา
2. ตัดแต่งกิ่งหลังเก็บเกี่ยว
เพื่อลดที่หลบซ่อนของแมลง และทำให้การพ่นสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ใช้แสงไฟล่อแมลง
ในกรณีที่มีการระบาดรุนแรง ใช้ดึงดูดแมลงให้เข้าสู่กับดักและกำจัด
สรุป
เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยักแม้มีขนาดเล็ก แต่ส่งผลกระทบมหาศาลหากไม่ควบคุมตั้งแต่ต้นทาง ด้วยการรู้จักชีววิทยาและวงจรชีวิตของแมลงชนิดนี้อย่างลึกซึ้ง ผนวกกับการใช้มาตรการควบคุมที่เหมาะสม เกษตรกรสามารถลดความเสียหายและรักษาคุณภาพของผลผลิตข้าวได้อย่างยั่งยืน
FAQ: 3 คำถามยอดฮิต ของ เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก (Rice Zigzag Leafhopper)
คำถามที่ 1 จะสังเกต “ข้าวติดไวรัสใบสีส้ม/โรคหูด” จากเพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก ให้ต่างจากอาการขาดธาตุได้ยังไง?
- ไวรัสใบสีส้ม (Yellow-orange leaf): ใบเหลืองส้มเป็นหย่อมๆ จากโคนไปปลายใบ เส้นใบยังคมชัด ต้นเตี้ย แคระแกรน แตกกอช้า
- โรคหูด (Gall dwarf): กาบใบ/ข้อปล้องโป่งเป็นตุ่มหรือ “หูด” กอหนาแน่นแต่ไม่ยืดสูง รวงสั้น เมล็ดลีบ
- ขาดธาตุ (เช่น ไนโตรเจน): เหลืองซีดทั้งใบแบบสม่ำเสมอ ไม่มีตุ่ม/หูด และพอใส่ปุ๋ยอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น
- ทำทันที: ถอน/ฝังทำลายต้นมีอาการหนัก เพื่อตัดแหล่งไวรัส → สำรวจรอบแปลงเพิ่ม → เริ่มควบคุมเพลี้ยในแนวขอบแปลงก่อน
คำถามที่ 2 ควรพ่นเมื่อไหร่? มีเกณฑ์ระบาดภาคสนามแบบง่ายๆ ไหม
ใช้สวิงโฉบสำรวจ 10 โฉบ/จุด × 5 จุด (ขอบ–กลางแปลง)
- ข้าวอายุ ≤ 60 วัน: พบ ≥ 2 ตัว/10 โฉบ → เริ่มพ่น
- ข้าวอายุ > 60 วัน: พบ ≥ 20 ตัว/10 โฉบ → เริ่มพ่น
คำถามที่ 3 กันไว้ดีกว่าแก้: ทำยังไงให้เพลี้ย–ไวรัสเข้าแปลงยาก โดยพึ่งสารเคมีน้อยที่สุด
- พันธุ์–ต้นกล้าสะอาด: ใช้พันธุ์ต้านทาน/กล้าจากแหล่งปลอดเพลี้ย ร่วมกับการ ถอนทำลาย ต้นมีอาการไวรัสทันทีที่พบ
- จัดการภูมิทัศน์แปลง: กำจัดวัชพืชวงศ์หญ้า (Poaceae) ตามคันนา/ร่องน้ำ ลดแหล่งอาศัยและพาหะสะพัด
- ซิงก์ฤดูปลูก: ไม่ปลูกเหลื่อมรุ่นยาวเกินไปในพื้นที่เดียวกัน ลดการสะสมประชากรต่อเนื่อง
- ดึงดูด–ตัดวงจร: ใช้ไฟล่อแมลงคืนละ 2–3 ชั่วโมงช่วงระบาด ช่วยลดตัวเต็มวัยอพยพ
- พึ่งศัตรูธรรมชาติ: รักษาแมงมุม/มวนเขียวดูดไข่ โดยพ่นสารเฉพาะเมื่อถึงเกณฑ์ และ สลับกลุ่มออกฤทธิ์ (เช่น คาร์บาริล/ไพรีทรอยด์สังเคราะห์) เว้นช่วง 10–14 วัน เลี่ยงพ่นกลางวันจัดเพื่อลดผลกระทบตัวห้ำตัวเบียน
หมายเหตุ: ถ้าเริ่มเห็นต้นมีอาการไวรัสเป็นหย่อมๆ ให้ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ที่แนวขอบหย่อม (รัศมี 3–5 ม.) ควบคู่การพ่นแนวกันเพลี้ย จะชะลอการกระจายของโรคได้ชัดเจน.