เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (Brown Planthopper) | วงจรชีวิต ลักษณะ และวิธีควบคุมอย่างยั่งยืน
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (Brown Planthopper)
Nilaparvata lugens (Stål)
ศัตรูร้ายในนาข้าวที่ไม่ควรมองข้าม
หากคุณเป็นเกษตรกร หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าว แน่นอนว่าคุณคงคุ้นชื่อ "เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล" เพราะแมลงตัวเล็กนี้คือศัตรูพืชสำคัญที่ทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายอย่างมากในหลายประเทศทั่วเอเชีย รวมถึงประเทศไทย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับชีววิทยา วงจรชีวิต และวิธีการควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอย่างเข้าใจง่ายและใช้งานได้จริง
ข้อมูลเบื้องต้น
- ชื่อสามัญ: Brown Planthopper
- ชื่อวิทยาศาสตร์: Nilaparvata lugens (Stål)
- วงศ์: Delphacidae
- อันดับ: Hemiptera
ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและชีววิทยา
- หนวด: แบบเส้นขน (Setaceous)
- ปีก: คู่หน้าแบบ Hemelytra โคนแข็ง ปลายใสบาง / คู่หลังเป็นแบบเยื่อบาง (membrane)
- ปาก: แบบเจาะดูด (piercing-sucking type)
- ขา: ขาคู่หน้าและกลางเป็นขาเดิน / ขาหลังเป็นขากระโดด
- ขนาด: ประมาณ 3 มิลลิเมตร ลำตัวสีน้ำตาลอมเทา
- ตัวเต็มวัย: มีทั้งแบบปีกยาวและปีกสั้น พบได้บ่อยในช่วงกลางคืนเพราะชอบแสงไฟ
วงจรชีวิตของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
การเจริญเติบโตของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete metamorphosis) แบ่งเป็น 3 ระยะหลัก:
ระยะไข่
- ตัวเมียวางไข่ได้มากถึง 200 ฟอง
- ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 7 วัน
ระยะตัวอ่อน (Nymph)
- ลอกคราบ 5 ครั้งก่อนเข้าสู่ตัวเต็มวัย
- ใช้เวลาประมาณ 10–20 วัน
ระยะตัวเต็มวัย
- มีอายุเฉลี่ย 10–15 วัน
- สามารถจับคู่ผสมพันธุ์และวางไข่ได้
อาหารและลักษณะการทำลาย
- แหล่งอาหาร: พืชตระกูลหญ้า (Family Poaceae) โดยเฉพาะ “ข้าว”
- ลักษณะการทำลาย: ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากเจาะดูดน้ำเลี้ยงจากโคนต้นข้าว ส่งผลให้ต้นข้าวแห้งตาย หรือ “ไหม้”
- เป็นพาหะนำโรค: เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสามารถเป็นพาหะของไวรัสใบหงิกในข้าว ซึ่งสร้างความเสียหายรุนแรง
การแพร่กระจาย
พบได้ในหลายประเทศแถบเอเชีย ได้แก่:
- ไทย
- พม่า
- กัมพูชา
- จีน
- อินเดีย
- อินโดนีเซีย
- ญี่ปุ่น รวมถึงในภูมิภาคออสเตรเลีย
วิธีการป้องกันและควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
1. การใช้ศัตรูธรรมชาติ (Biological control)
มวนเขียวดูดไข่ (Cyrtorhinus lividipennis)
- ตัวห้ำระยะไข่ของเพลี้ยกระโดด
- กินไข่ได้วันละ 7–10 ฟองต่อตัว
ด้วงเต่า (สีส้ม / ลายสมอ / ลายหยัก)
- ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยกินไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มวัยของเพลี้ย
แมงมุม
- เป็นตัวห้ำในธรรมชาติ ช่วยควบคุมประชากรเพลี้ยได้ดี
2. การใช้เชื้อราศัตรูแมลง (Entomopathogenic fungi)
- Beauveria bassiana (เชื้อราขาว)
- Metarhizium spp. (เชื้อราเขียว)
- Hirsutella citriformis (เชื้อราเฮอร์ซูเทลล่า)
เชื้อราเหล่านี้สามารถแพร่สปอร์เข้าสู่ร่างกายเพลี้ยและฆ่าแมลงได้โดยตรง
3. กับดักไฟล่อแมลง
ใช้ลักษณะชอบแสงไฟของเพลี้ยในการดักจับ
4. การใช้สารเคมี (Chemical control)
สารที่ใช้มีทั้งแบบสัมผัสและแบบดูดซึม:
กลุ่ม Organophosphate และ Carbamate:ใช้มานาน เช่น acephate, carbaryl
กลุ่ม Neonicotinoid:
มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมแมลงปากดูด เช่น:
- Dinotefuran (Starkle)
- Acetamiprid (Molan)
- Thiamethoxam (Actara)
- Clothianidin (Dantosu)
- Imidacloprid (Confidor, Provado)
- Thiacloprid (Calipso)
ควรสลับกลุ่มสารเคมีและใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการดื้อยา
สรุป
แม้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลจะมีอายุสั้นและขนาดเล็ก แต่ก็มีอัตราขยายพันธุ์รวดเร็วและส่งผลกระทบมหาศาลต่อผลผลิตข้าว หากไม่จัดการอย่างถูกวิธี การเรียนรู้วงจรชีวิตและพฤติกรรมของมัน คือกุญแจสำคัญในการควบคุมศัตรูพืชนี้อย่างยั่งยืน โดยเน้นวิธีผสมผสานระหว่างชีววิธีกับเคมีภัณฑ์อย่างเหมาะสม