เพลี้ยกระโดดปีกยาว (Long-winged Planthopper) | ลักษณะ วงจรชีวิต และวิธีควบคุม
เพลี้ยกระโดดปีกยาว (Long-winged Planthopper)
Proutista moesta (Westwood)
 แมลงเล็กที่อาจก่อปัญหาใหญ่ในแปลงนา
แม้จะมีขนาดเพียง 3 มิลลิเมตร แต่ "เพลี้ยกระโดดปีกยาว" หรือ Long-winged Planthopper ก็เป็นหนึ่งในแมลงศัตรูพืชที่ควรจับตามอง โดยเฉพาะในนาข้าว เนื่องจากทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของมันต่างก็สามารถดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในบางกรณีอาจทำให้ต้นพืชอ่อนแอจนหยุดการเจริญเติบโต
รู้จักกับเพลี้ยกระโดดปีกยาว
ชื่อสามัญ: Long-winged Planthopper
 ชื่อวิทยาศาสตร์: Proutista moesta (Westwood)
 วงศ์: Derbidae
 อันดับ: Hemiptera
ลักษณะเด่น
- หนวดเป็นแบบเส้นขน (Setaceous) ละเอียดเหมือนเส้นผม
- ปีกคู่หน้าแบบ Hemelytra มีส่วนโคนแข็งและปลายปีกบางใส ส่วนปีกคู่หลังเป็นแผ่นใสบางแบบ membrane
- ปากเป็นแบบเจาะดูด (piercing-sucking) ใช้ดูดน้ำเลี้ยงจากพืช
- ขาหลังคู่ที่สามพัฒนาเป็นขากระโดด ช่วยให้เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว
- ตัวเต็มวัยมี 2 แบบ: ปีกยาวและปีกสั้น มักออกหากินตอนกลางคืนและชอบเล่นไฟ
วงจรชีวิต
แมลงชนิดนี้มีการเจริญเติบโตแบบ "ไม่สมบูรณ์" (incomplete metamorphosis) กล่าวคือ ไม่มีระยะดักแด้ แต่จะเปลี่ยนแปลงจากไข่ → ตัวอ่อน → ตัวเต็มวัย โดยระยะตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 10–15 วัน
พืชอาหารและพฤติกรรมการทำลาย
- อาหารหลัก: พืชวงศ์หญ้า (Poaceae) โดยเฉพาะ “ข้าว”
- ตัวอ่อน: กินเชื้อราในสภาพแวดล้อมชื้น
- การทำลาย: ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากโคนต้นข้าวเหนือระดับน้ำ ทำให้ต้นอ่อนแอ ผลผลิตลดลง
การแพร่กระจาย
พบได้ทั่วไปใน เขตร้อน รวมถึงประเทศไทย โดยมักพบในแปลงข้าวช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูง
วิธีการป้องกันและควบคุม
1. การใช้เชื้อราศัตรูธรรมชาติ
- Beauveria bassiana (เชื้อราขาว)
- Metarhizium spp. (เชื้อราเขียว)
- Hirsutella citriformis
เชื้อราเหล่านี้สามารถติดเชื้อในตัวแมลงและทำให้ตายได้ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง
2. การใช้กับดักไฟล่อแมลง
ใช้ลักษณะชอบแสงของเพลี้ยกระโดดปีกยาวในการดึงดูดและกำจัด
3. การใช้สารเคมีอย่างระมัดระวัง
สารกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่:
กลุ่มออร์แกนโนฟอสเฟต (Organophosphate)กลุ่มคาร์บาเมท (Carbamate)
กลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ (Neonicotinoid) เช่น:
- ไดโนทีฟูราน (Dinotefuran – Starkle)
- อะเซตามิพริด (Acetamiprid – Molan)
- ไทอะมีโธแซม (Thiamethoxam – Actara)
- คลอไทอะนิดิน (Clothianidin – Dantosu)
- อิมิดาคลอพริด (Imidacloprid – Confidor, Provado)
- ไทอะคลอพริด (Thiacloprid – Calipso)
ข้อควรระวัง: การใช้สารเคมีควรสลับกลุ่มการออกฤทธิ์ เพื่อลดปัญหาแมลงดื้อยา และควรใช้ในช่วงที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
สรุป
เพลี้ยกระโดดปีกยาวแม้จะเป็นแมลงขนาดเล็ก แต่สามารถส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรได้มาก โดยเฉพาะในระบบนิเวศของนาข้าว การรู้จักชีววิทยา วงจรชีวิต และพฤติกรรมของมันจะช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีควบคุมที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นชีววิธี การใช้กับดัก หรือสารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสมดุลและผลผลิตอย่างยั่งยืน-2.jpg)
FAQ — 3 คำถามยอดฮิต ของ เพลี้ยกระโดดปีกยาว Proutista moesta (ถามบ่อยแบบคนเสิร์ชชอบ)
คำถามที่ 1 จะรู้ได้ยังไงว่าเป็น “เพลี้ยกระโดดปีกยาว” ไม่ใช่เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล? ดูตรงไหนเร็วสุด?
- หนวดแบบเส้นขน (setaceous) บางยาวเหมือนเส้นผม
- ตัวเต็มวัยมีทั้งปีกยาว/ปีกสั้น ชอบออกหากิน กลางคืน และ เล่นไฟ
- ขาหลังเป็นขากระโดดเด่น กระโดดพรวดเร็ว
- มักเกาะ–ดูดน้ำเลี้ยง ตรงโคนลำต้นข้าวเหนือระดับน้ำ
- ตัวอ่อนพบใกล้แหล่งชื้น/เชื้อรา (ตัวอ่อนของชนิดนี้กินเชื้อราบางอย่างด้วย)
ถ้าเห็นตัวกลางคืนมากผิดปกติที่ไฟล่อ + ลายปีกบางใสยาวปิดลำตัว = มีโอกาสสูงว่าใช่ “เพลี้ยกระโดดปีกยาว”
คำถามที่ 2 เจอเริ่มระบาดในนา ควร “ลงมือเมื่อไหร่–ทำอะไรก่อนหลัง” ให้ได้ผลสุด (ไม่พึ่งยาอย่างเดียว)?
ลำดับ 4 ขั้น (ทำตามนี้ได้เลย):
- มอนิเตอร์ 2–3 คืนติด: ใช้ไฟล่อ/แผ่นกาวใกล้คันนา เช็กแนวโน้มขึ้นจริง ไม่ใช่แค่คืนเดียวพีค
- จัดการสิ่งแวดล้อม: เก็บเศษฟาง/กอวัชพืชชื้น ๆ รอบโคน กำจัดแหล่งเชื้อรา–ความชื้นแฉะที่เอื้อตัวอ่อน
- ชีววิธีก่อน (เย็น–หัวค่ำชื้น ๆ): พ่น/ฉีดเชื้อรา Beauveria, Metarhizium, Hirsutella ตรงแนวโคนต้น เหนือระดับน้ำ
- ค่อยพิจารณาเคมีเฉพาะจุด เมื่อแนวโน้มยังเพิ่ม: พ่นให้ถูก “โซนกิน” คือ ช่วงโคนลำต้นเหนือผิวน้ำ และทำ ตอนพลบค่ำ ที่แมลงออกหากิน
ทิป: บันทึกจำนวนตกกับดัก/แปลง เพื่อเทียบก่อน–หลัง 7 วัน แล้วค่อยปรับแผน
คำถามที่ 3 ใช้สารอะไรได้ และหมุนเวียนยังไงให้ “ไม่ดื้อยา–คุ้มต้นทุน”?
- กลุ่มที่ใช้ได้กับเพลี้ยกระโดดปีกยาว: ออร์กาโนฟอสเฟต, คาร์บาเมต, นีโอนิโคตินอยด์ (เช่น dinotefuran, acetamiprid, thiamethoxam, clothianidin, imidacloprid, thiacloprid)
- กฎเหล็กการหมุนเวียน: สลับ “กลุ่มการออกฤทธิ์ต่างกัน” (อย่าใช้นีโอนิโคฯ ย้ำ ๆ หลายรอบ) และพ่นเฉพาะช่วงจำเป็นจริง
- เทคนิคพ่นให้คุ้ม: เน้นพ่น แนวโคนต้นเหนือระดับน้ำ, ทำ ช่วงเย็น ลดสูญเสีย–ตรงพฤติกรรมหากินกลางคืน
- ห้าม ผสมหลายสูตรมั่ว ๆ / เพิ่มความเข้มข้นเอง / พ่นกว้างโดยไม่มอนิเตอร์
- เช็ก ช่วงเว้นก่อนเก็บเกี่ยว (PHI) และบันทึกชื่อผลิตภัณฑ์–วันที่–ผลหลังพ่น 7 วัน เพื่อปรับรอบถัดไป
สรุปสั้น: เริ่มที่ มอนิเตอร์ + ชีววิธี + จัดการความชื้น ก่อน แล้วค่อยใช้เคมีแบบ หมุนเวียนกลุ่ม พ่นให้ ถูกเวลา–ถูกจุด = ลดดื้อยาและคุมต้นทุนได้ดีที่สุด.
 
         
          
         
         
                                                 
				    	 
 



