English
Chinese
Japanese

เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง (Empoasca fabae) | อาการใบไหม้–วงจร–วิธีคุมแบบ IPM

เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง (Potato leafhopper, Empoasca fabae) รู้ทันศัตรูพืชจิ๋วที่ทำ “ใบไหม้” ผลผลิตตก — คู่มือ IPM ใช้ได้จริง

เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่งคือศัตรูพืชตัวเล็กแต่ผลกระทบไม่เล็ก ทั้งดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ต้นแคระแกร็น ใบเหลือง–ขอบใบไหม้ (hopperburn) และชะงักการให้ผลผลิต พบระบาดได้ในพืชตระกูลมันฝรั่ง ผัก และถั่วหลายชนิด บทความนี้สรุปลักษณะจำแนก วงจรชีวิต อาการทำลาย วิธีเฝ้าระวัง และแผนควบคุมแบบผสมผสาน (IPM) ที่ลงแปลงได้ทันที

จุดเด่นจำแนกชนิด (Identification)

  • รูปร่าง: ลำตัวเล็กสีเขียวอ่อนออกเหลือบรุ้ง ยาวราว 3.0–3.3 มม.
  • ลายเด่น: บน pronotum มีจุดสีขาว 6–8 จุด และมีเครื่องหมายรูปตัว H สีขาวคั่นระหว่างหัวกับฐานปีก
  • ตา/การเคลื่อนที่: ตาสีแดง ตัวเต็มวัยและตัวอ่อน (nymph) กระโดดได้ว่องไว และไถลด้านข้างเร็วมาก
  • วงศ์/อันดับ: Cicadellidae; Hemiptera

วงจรชีวิต (ประมาณ 1 เดือน)

เพลี้ยจักจั่นมีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่สมบูรณ์ (Egg → Nymph → Adult)

  • ไข่: 7–10 วัน (วางซ่อนในเนื้อใบ/ก้าน)
  • ตัวอ่อน (Nymph): 11–19 วัน ลอกคราบ 4 ครั้ง
  • ตัวเต็มวัย: มีชีวิต ~2 สัปดาห์

อากาศร้อนแห้งช่วยย่นวงจร–เร่งการระบาด ควรเพิ่มความถี่การตรวจแปลงในช่วงดังกล่าว

อาการทำลายที่ควรจับตา

  • Hopperburn: ใบเหลืองซีด ขอบใบไหม้เป็นสีน้ำตาล ใบหงิกงอ แผ่นใบเล็กลง
  • การเจริญชะงัก: แตกยอดใหม่ช้า ต้นเตี้ย แคนอปี้โปร่ง ผลผลิต–คุณภาพหัว/ผลลดลง
  • รอยดูด–จุดซีด: ใต้ใบมีรอยจิ้มดูดกระจาย โดยมากเห็นรุนแรงบนใบอ่อน

เฝ้าระวังและประเมินความเสี่ยง

  1. สุ่มตรวจใต้ใบอย่างเป็นระบบ 20–30 ต้น/แปลง/สัปดาห์ — โฟกัสใบอ่อนและขอบแปลง
  2. ใช้ สวิงกวาด (sweep net) ตามแนวแถวเพื่อตรวจตัวบิน
  3. ติด แผ่นกาวสีเหลือง ระดับยอดพืชเพื่อดูแนวโน้มการเข้าทำลาย
  4. จดบันทึกสม่ำเสมอ (จำนวนตัวอ่อน/ตัวเต็มวัย–ตำแหน่ง–สภาพอากาศ) เพื่อกำหนดจังหวะควบคุม

ควบคุมแบบผสมผสาน (IPM) ที่ได้ผล

1) วัฒนธรรม–กายภาพ

  • กำจัดวัชพืชพาหะ รอบแปลง/คันนา เพื่อลดแหล่งหลบซ่อน
  • เพิ่มการระบายอากาศทรงพุ่ม (ตัดแต่ง/ระยะปลูกพอเหมาะ) ลดสภาพที่เอื้อต่อการสะสมประชากร
  • ใช้ตาข่ายกันแมลง/มัลช์สะท้อนแสง (reflective mulch) เพื่อลดการเข้าทำลายช่วงต้นปลูก
  • รดน้ำ–ธาตุอาหารสมดุล ลดความเครียดพืชที่กระตุ้นการระบาด

2) ศัตรูธรรมชาติ–ชีวภัณฑ์

  • ตัวห้ำ: แมลงช้างปีกใส (Chrysopidae), ด้วงเต่าลาย (Coccinellidae) ช่วยกดตัวอ่อน
  • เชื้อรากำจัดแมลง: Beauveria bassiana, Cordyceps (Isaria) fumosorosea พ่นช่วงเช้า/ค่ำ เมื่อความชื้นสัมพัทธ์สูง

หลีกเลี่ยงสารออกฤทธิ์กว้าง ก่อน–หลัง 7–10 วัน ของการปล่อย/พ่นชีววิธี

3) สารเคมี (ใช้เมื่อจำเป็น และสลับกลุ่มฤทธิ์)

  • เน้นพ่นช่วงพบ ตัวอ่อนระยะแรก และ ให้ถึงใต้ใบ ซึ่งเป็นจุดหลบซ่อน
  • หมุนเวียนกลุ่ม IRAC ป้องกันการดื้อยา และพ่นตามฉลาก–PPE–ช่วงเว้นก่อนเก็บเกี่ยว (PHI)
  • ใช้ สารจับใบ/สารช่วยแผ่ เพื่อให้สารสัมผัสผิวใบสม่ำเสมอ

เช็กลิสต์ลงแปลง (สั้น กระชับ ใช้จริง)

  • ตัดวัชพืช–เก็บเศษพืชทุกสัปดาห์
  • ติดแผ่นกาวเหลืองและเปลี่ยนเมื่อเต็ม
  • ตรวจใต้ใบใบอ่อนริมแปลงทุก 3–7 วันหน้าระบาด
  • เริ่มด้วยชีววิธี/ตัวห้ำ เมื่อพบตัวอ่อนระยะแรก
  • หากจำเป็นต้องพ่นสาร: พ่นให้ถูกระยะ–ใต้ใบ และ สลับกลุ่ม

FAQ: 3 คำถามยอดฮิต ของ เพลี้ยจักจั่นมันฝรั่ง (Potato leafhopper, Empoasca fabae)

คำถามที่ 1 อาการใบไหม้ (hopperburn) ของมันฝรั่งต่างจากโรคพืชอย่างไร?

Hopperburn เกิดจาก น้ำลายพิษของเพลี้ยจักจั่น ขณะดูดกิน ทำให้ท่อน้ำ–อาหารในใบเสียสมดุล ขอบใบจึงเหลืองไหม้และม้วนงอ ซึ่งมักกระจายทั้งแปลงอย่างรวดเร็ว ต่างจากโรคเชื้อรา/แบคทีเรียที่มักเริ่มเป็น “จุดหรือแผล” แล้วลามต่อ

คำถามที่ 2 ทำไมเพลี้ยจักจั่นมันฝรั่งระบาดหนักในช่วงอากาศร้อน–แห้ง?

อุณหภูมิสูงและความชื้นต่ำช่วยให้ วงจรชีวิตสั้นลง (เหลือเพียง 18–20 วัน) และเร่งการฟักไข่–ลอกคราบ ทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด เกษตรกรจึงควรเพิ่มความถี่การตรวจแปลง และใช้ชีววิธี/ตัวห้ำตั้งแต่เริ่มพบตัวอ่อนระยะแรก

คำถามที่ 3 มีวิธีป้องกันเพลี้ยจักจั่นโดยไม่พึ่งสารเคมีหนัก ๆ ไหม?

ได้แน่นอน! เกษตรกรสามารถใช้ IPM แบบกายภาพ–ชีววิธี เช่น ติดแผ่นกาวเหลือง, ใช้มัลช์สะท้อนแสงเพื่อลดการเข้าทำลาย, ปล่อยแมลงช้างปีกใส/ด้วงเต่าลายควบคุมตัวอ่อน และพ่นเชื้อรา Beauveria bassiana ช่วงที่ความชื้นสูง วิธีเหล่านี้ลดการใช้สารเคมีได้จริงและยังปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

Visitors: 540,995